Saturday, November 16, 2013

กรุงเทพมาราธอน 2013

เวียนมาอีกครั้งกับมหกรรมวิ่งมาราธอนงานใหญ่ที่สุดของประเทศไทย กรุงเทพมาราธอน 2013 จัดขึ้นในวันที่ 17 พ.ย. 2556 ครั้งนี้พิเศษกว่าเดิม เส้นทางวิ่งปรับใหม่เพราะต้องหลบม็อบราชดำเนินต่อต้าน พรบ.นิรโทษกรรม
เมื่อปีที่แล้วเตรียมตัวน้อยไปหน่อย ผลเลยออกมาค่อนข้างสาหัสสากรรจ์ สถิติปีที่แล้วอยู่ที่ 2 ชั่วโมง 45 นาที และจบด้วยสภาพที่บอบช้ำเล็กน้อย
ปีนี้ขอแก้มือฮาล์ฟก่อนยังไม่บังอาจไปลงฟูลมาราธอน แม้ว่ามีการตรียมตัวดีกว่าปีที่แล้ว แถมผลพลอยได้จากการปั่นจักรยานทำให้ขาแข็งขึ้น น้ำหนักตัวลดลงไปจากเดิมประมาณ 5 กิโล จึงตั้งเป้าว่าน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงครึ่ง
ปีนี้ผู้จัดกำหนดเวลาให้ออกตัวเร็วกว่าเดิม 1 ชั่วโมง คงจะให้จบงานเร็วขึ้น ไม่ไปกวนม็อบมาก
ระยะฮาล์ฟออกตัวตีสี่ จึงต้องตื่นตั้งกะตีสอง ถึงที่จอดรถลานคนเมืองตอนตีสามครึ่ง ขึ้นรถตู้บริการของผู้จัดงานถึงจุดปล่อยตัวประมาณก่อนสิบห้านาที
คนลงแข่งก็พอๆ กับปีก่อน

เพื่อไม่ถูกกดดันจากนักวิ่งด้วยกัน การไปอยู่หางแถวจึงน่าจะสะดวกใจที่สุด ที่วอร์มที่ยืดเหยียดแสนสบาย ครั้งนี้ไม่ตื่นสนามแล้ว ทุกอย่างสมูธไปหมด
แล้วก็ถึงเวลาปล่อยตัวตอนตีสี่ตรง ก็ค่อยๆ รอให้แถวหน้าไหลไป สำคัญคือต้องพาตัวอยู่ไปในจุดที่ตากล้องยิงภาพมากที่สุด (ประสบการณ์ล้วนๆ)

เส้นทางวิ่งทุกปีจะมาสูตรเดียวกันคือออกจากข้างวัดพระแก้วไปขึ้นสะพานปิ่นเกล้า แล้วขึ้นทางยกระดับ แล้ววิ่งไปกลับตัวแล้วมาข้ามสะพานพระรามแปด สะพานเหล่านี้ย่อมมีความชันซึ่งบั่นทอนพลังการวิ่ง งานนี้จึงเพลย์เซฟไว้ก่อนโดยไม่บดช่วงขาขึ้นเนิน และช่วงลงเนินก็ไม่ปล่อยไหลจนรอบขาถูกเร่งมากเกินไป เก็บความสมบูรณ์ไว้เฉพาะช่วงทางราบดีกว่า

การซ้อมที่ดีกว่าปีก่อนส่งผลต่อการวิ่งเห็นได้ชัด สามารถรักษาความเร็วสม่ำเสมอได้ พยายามรักษาระดับที่ Heart rate ไม่สูงเกินไป แม้ว่ายังมี Gap เหลืออยู่แต่ยั้งใจไม่เร่งในช่วงชั่วโมงแรก (กลัวหมดในชั่วโมงที่สอง)

ปีนี้ไม่มีอาการเจ็บเอ็นเท้า ไม่เจ็บนิ้วโน้นนิ้วนี้แล้ว หนังเท้าคงหนาขึ้น

ระยะทางสิบห้ากิโลผ่านไปเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น ลงจากสะพานพระรามแปดด้วยสภาพที่ยังโอเคอยู่ จึงลองเหยียบดูบ้างเป็นพักๆ ซึ่งน่าจะทำให้เวลาดีขึ้น เอาแค่ว่าเหนื่อยเมื่อไรก็ค่อยผ่อนลงมา

แล้วก็มาถึงตรอกท่าพระจันทร์ ปีที่แล้วมาหมดแถวนี้ เลยหวั่นๆ แถมทางก็ร่มๆ ครึ้มๆ พอผ่านไปได้อาถรรพ์ท่าพระจันทร์ก็คลายไป คราวนี้ก็ผ่านหน้าวัง ท่าช้าง และเข้าป้ายเส้นชัยด้วยเวลาอย่างไม่เป็นทางการที่ 2 ชั่วโมง 18 นาที

ปีนี้จบรายการได้อย่างตั้งใจในสภาพที่ยังเหลืออยู่ พร้อมกับคำถามในใจถึงความท้าทายใหม่ต่อไป

No comments:

Post a Comment